How to maintain you matterss /// วิธีดูแลรักษาที่นอนนะครับ /// ฉบับเต็ม ๆ พร้อมคำอธิบาย ครับผม

 

สวัดดีพี่พี่สมาชิก ทุก ๆ ท่าน นะครับ .... ก็ตามหัวข้อเลยครับ

 

!!!  How to maintain your matterss // วิธีดูแลรักษาที่นอนนะครับ // ฉบับเต็ม ๆ พร้อมคำอธิบาย ครับผม  !!!

 
 
ซึ่งผมเองตั้งใจทำกระทู้นี้ขึ้นมา เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลให้กับพี่พี่ทุก ๆ ท่าน ครับ ที่มีความสนใจในเรื่องของการดูแลรักษาที่นอนนะครับ
 
 
ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขอโทษไว้ ณ ที่นี้ด้วนนะครับผม
ซึ่ง...ผมเชื่อว่าและหวังว่า ถ้าพี่พี่ได้อ่านแล้ว น่าจะเป็นประโยชน์ไม่มาก ก็ น้อยนะคับ
 
 

How to maintain your matterss
วิธีดูแลรักษาที่นอนนะครับ

 
 
 

 

 ก็ตามรูปเลยครับ วันนี้ผมเองขอมาเล่าเรื่องของการ How to maintain you matterss หรือการ วิธีดูแลรักษาที่นอนนะครับ ในแง่มุมของผมนะครับ
ซึ่งผมเองได้อ่านข้อมูลจากแหล่งข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ก็มีหลาย ๆ ที่ ที่แก่นข้อมูลต่าง ๆ นั้นเหมือน ๆ กันครับ ไม่ต่างกัน  ซึ่งผมเองได้อ่านแล้ว    บางเรื่องนั้นก็เป็นจริง บางเรื่องนั้นก็อาจจะจริงแต่ยุคสมัยเปลี่ยนไปการพัฒนาเทคโนโลยี่ของที่นอนก็เปลี่ยนตามครับ เลยทำให้ข้อมูลบางข้อมูลนั้นอาจจะจริงแต่จริงเพียงครึ่งเดียวครับ ซึ่งตรงนี้ผมเองขอใช้ โอกาศตรงนี้มาเพื่อ ตอบและบอกกล่าว ในการดูแลรักษาที่นอนให้แก่พี่พี่นะครับ ซึ่งทั้งหมดที่ผมจะพิมไปนั้น เป็นการกลั่นและกลองจากการอ่านและประสมกับประสพการที่ผมมีนะครับ ซึ่งผมว่าน่าจะเป็นอะไรที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดีครับ ซึ่งผมเองขอตอบเป็นข้อ ๆ ซึ่งหัวข้อต่าง ๆ นั้นเป็นสิ่งที่ผมได้มาจากข้อมูลอินเตอร์เน็ตและผมขอนุญาตขยานความต่อเพื่มนะครับ เพื่อความกระจ่างและให้พี่เข้าใจในสิ่งที่ถูกต้องนะครับ และให้ข้อมูลต่าง ๆ เหล่านั้นใช้งานได้จริง ณ ปัจจุบันในทุก ๆ ยี่ห้อ ครับ
  ซึ่งจะไม่ไปขัดต่อ กฏเกณต่าง ๆ ของทางบริษัทแม่ครับผม

 

ซึ่ง หัวข้อต่าง ๆ นั้น ผมอิงจากเว็บตามนี้นะครับ  ซึ่งผมเองต้องขอขอบคุณและให้เครดิต พี่พี่เค้าครับ

http://www.aseanliving.com/blog/decor/91-beds.html   
http://hilight.kapook.com/view/38734
http://my.dek-d.com/bbcrew/blog/?blog_id=10098007
 
 

ผมขอเริ่มเลยนะครับ

 

1. ควรพลิกหรือกลับด้านที่นอน และสลับด้านที่นอนหัว-ท้าย อย่างน้อย 1 ครั้งทุก ๆ 3 เดือน เพื่อรักษาความคงตัวของที่นอน และไม่ให้ด้านใดด้านหนึ่งยุบตัวถาวร







--- การสลับที่นอนนั้นถือว่าเป็นอะไรที่ดีนะครับ...ให้สปริงนั้นใช้งานได้นานขึ้น ( รึป่าว ) แต่ที่ใช้ได้จริงคือ การกลับที่นอนบ่อย ๆ จะทำให้พี่พี่เกิดความเบื่อหน่าย และ สโลแกนที่ว่าการสลับที่นอนนั้น ตรงนี้เป็นการเล่นกับ อุปนิสัย พื้นฐานของคนไทยครับ ซึ่ง เป็นคนขี้เกรงใจและขี้รำคาญ ครับ ที่แน่ ๆ เลยครับ ถ้าพี่ท่านไหนกลับที่นอนบ่อย ๆ หรือ นอนลงไปแล้วที่นอนมีปัญหาและเปลี่ยนสลับด้านนอนบ่อย ๆ สิ่งที่ตามมาเลยคือการซื้อที่นอนใหม่แน่นอนครับ จะไม่ค่อยส่งกลับโรงงานเพื่อ เปลี่ยน ซ่อม เครม กับทางโรงงานครับ ซึ่งหัวข้อนี้ผมเองขอขยายเยอะนิดนึงนะครับ เพื่อความกระจ่างและให้พี่พี่ได้ทราบครับ  จริงอยู่การสลับที่นอนนั้นใช้ได้จริงครับ แต่จะใช้ได้กับที่นอนที่ เป็นแบบ นอน 2 ด้านฟิวการนอนเหมือนกันครับ แต่ในปัจจุบันนี้ที่นอนนั้นมาการพัฒนาไปไกลมากครับ ซึ่งทำออกมาหลายแบบหลายสตายมากครับ ซึ่งจะแบ่งเป็นที่นอนฟิวหลัก ๆ อยู่ 3 แบบครับ คือที่นอนที่มีฟิวการนอน 2 ด้านเหมือนกัน /// ที่นอนที่นอนด้านเดียว /// ที่นอนที่ฟิวการนอน 2 ด้านไม่เหมือนกัน คือ ผิวหน้านุ่มด้านหลังแน่น หรือผิวหน้าแน่นด้านหลังนุ่มครับ ซึ่งตรงนี้บอกพี่เลยครับว่า ในส่วนของฟิวการนอนแบบแรกคงไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นฟิวการนอนแบบ 2 แบบหลังนั้นพี่สลับที่นอนไม่ได้แน่นอนครับ พี่หลายคนอาจจะสงสัยว่า น้องแล้วแบบนี้ ที่นอนแบบที่ 2 และ 3 นั้นจะต้อง ด่อยกว่า หรืออ่อนแอ กว่า แบบที่ 1 ใช่มั้ย ตรงนี้ผมเองบอกเลยว่า ผิด นะครับ เพราะที่นอนในแบบต่าง ๆ นั้นจะขึ้นอยู่กับปีและรุ่นที่ออกมาครับ ซึ่งบางทีก็จะเน้นที่นอน 2 ด้าน ในบางปีก็จะเน้นที่นอนที่นอนด้านเดียว บางปีก็จะเน้นที่นอนที่ทำออกมาแบบหน้านุ่ม หลังแน่นครับ ....ซึ่งผมเองต้องบอกเลยครับ ว่าที่นอนมีแบบเยอะแบบนี้ แล้วเรื่องการกลับที่นอนนั้นจะเป็นอย่างไร ซึ่งถ้าพี่อ่านมาแบบนี้แล้ว พี่บางคนก็จะถึงบาง อ้อ ทันที บางคนก็จะ งง อยู่ .... งั้นผมขอตอบแบบตรง ๆ เลยนะครับ ว่าการ สลับที่นอนหรือการกลับ ที่นอนนั้น พี่ไม่ต้องทำก็ได้ครับ เพราะถ้าที่นอนตัวนั้นจะมีปัญหา พี่จะกลับหรือไม่กลับ จะพลิกหรือไม่พลิก ที่นอนก็จะยังมีปัญหาเหมือนเดิมอยู่ดีครับ ต่อให้พี่นอนด้าน a มีปัญหา และเปลี่ยนเอาหน้า b มานอนพี่เชื่อมั้ยครับ ว่าหน้า a ยุบ หรือ ยวบ ตรงไหน หน้า b ก็จะ ยุบหรือยวบ ตรงนั้นครับ ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ ผมว่าพี่ซื้อที่นอนตัวไหนมาก็ตาม พี่นอนไปเลยครับ ไม่ต้องไปกลับมันครับ เพราะที่นอน 1 หลังเวลาพี่ซื้อมาแล้วนั้น เค้าขายรวมการรับประกันมาด้วยครับ ซึ่งทางบริษัทแม่เค้าไม่มาดูพี่นะครับ ว่าพี่กลับที่นอนแล้ว รึยัง จนมันยุบ หรือ พี่นอนยังไงให้แล้วที่นอนยุบ ซึ่งทางบริษัทใหญ่ ๆ นั้นเค้าไม่มาสนใจครับ เค้าสนใจแต่ว่าที่นอนยุบหรือยวบเค้าจะบริการอย่างไรให้พี่พึงพอใจเพื่อรักษา ยี่ห้อนั้น ๆ ให้ดีที่สุดครับ ซึ่งการเครมนั้นต้องใช้เวลาแต่ไม่มากนะครับ เพียงแค่ 3-7 วันเท่านั้นเองครับ แต่อาจจะมีหลุดบ้างแต่ก็น้อยมาก ครับ

เรื่องการเครมการรับประกันที่นอนนั้น....ส่วนใหญ่การรับประกันจะวิ่งอยู่ในเร้น 8-20 ปีนะครับ ซึ่งจะอยู่ที่ รุ่นและยี่ห้อครับ โดยการรับประกันนั้น เค้าจะดูแลอยู่ 2 เรื่องนะครับ คือเรื่องของการ ยุบ และการยวบครับ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าที่นอนยุบนั้นเราสามารถเห็นได้ด้วยตา ว่าที่นอนเป็นแอ่งไปเลยครับ...แต่ในส่วนของที่นอนยวบคือ ที่นอนส่วนใดส่วน 1 นั้นนุ่มกว่าปกติครับในส่วนต่าง ๆ ของตัวที่นอนทั้งผืนครับ ซึ่งเวลามีแรงกดทับลงที่นอนไปนั้นที่นอนจะจมและเป็นแอ่งมากครับ...แต่พอเราลุกหรือไม่ได้นั่งบนที่นอนในจุดนั้น ๆ สปริงก็จะคืนตัวเต็มที่เหมือนเดิมครับ ซึ่งจะต่างจากในเคสที่นอนยุบครับซึ่งจะยุบและไม่คืนตัวครับผม ถ้าพี่เจอในเคส 2 อย่างนี้ พี่ไม่ต้องห่วงนะครับทางบริษัทแม่เค้ายินดีดูแลนะครับ โดยถ้าที่นอนยุบเกิณ 70 %  ของที่นอนทั้งหมดนั้น ทางโรงงานเค้ายินดีเปลี่ยนที่นอนหลังให่ รุ่นเดิมให้พีนะครับ แตถาในกรณีนอนลงไปแล้วที่นอน ยวบ หรือ ยุบไม่ถึง 70% นั้น...ทางโรงงานเค้าจำเรืองการเครมให้ครับ ซึ่ง เปิดออกมาถ้าสปริงยุบเค้าก็จะเปลี่ยนสปริงให้ใหม่ทั้งที่นอนครับ และถ้าผิวหน้ายุบ เค้าก็จะเปลี่ยนผิวหน้าให้ครับ แต่ถ้าในกรณีเสีบทั้ง 2 อย่าง ทั้งผิวหน้า และสปริง เค้าก็เปลี่ยนที่นอนหลังใหม่ แต่รุ่นเดิมให้เช่นกันครับผม ซึ่งในเคสที่ประเมินว่าที่นอนเสียกี่เปอร์เซ็นนั้น บางทีสามารถดูด้วยสายตาให้ได้เลยนะครับ ... บางที่ต้องแกะมาดูครับถึงจะเห็น ซึ่งตรงนี้พี่พี่ไม่ต้องห่วงนะครับ ถ้าเป็นยี่ห้อหลัก ๆ แบบนี้อย่าง  OmaZZ Slumberland Sealy Lotus Dunlpoillo  นั้นเค้ายินดีดูแลพี่พี่อย่างเต็มที่ครับ บริการหลังการขาย ถือว่า ไว้วางใจได้ดีที่สุด ณ ปัจจุบันนี้เลยครับ


 
----------------------------------------------------------

 

2. ควรแกะพลาสติกที่ใช้หุ้มที่นอนออก เพื่อให้อากาศถ่ายเทในที่นอน

 

--- อันนี้เป็นความจริงนะครับ....ที่นอนที่พี่ซื้อมาใหม่นั้น ถ้าถึงเวลานอนจริง ๆ แนะนำให้พี่แกะตัวพลาสติกออกเลยนะครับ เพราะถ้าพี่ไม่แกะเวลาพี่นอนลงไแล้วนั้น ผิวหน้าที่นอนนั้นจะมีความยืดหยุ่นที่น้อยส่งกว่าผิวหน้าที่นอนที่ไม่มีอะไรมาขวางอยู่ประมาณ 50-60% เลยนะครับ และที่สำคัญเวลาพี่นอนลงไปแล้วนั้นจะมีเสียงที่น่ารำคาญมากด้วยครับ เสียงพลายติดอะครับและเวลานอนลงไปแล้วนั้น  ต้องบอกเลยครับว่าที่นอนจะร้อนมากครับ เพราะความร้อนจากร่างกายนั้นจะตีกลับออกมา ไม่ต่างอะไรกับพี่นอนเสื่อน้ำมัน อะครับ ส่วนที่โดนตัวที่นอนจะร้อนและมีเหงื่อออกตรงนั้น ๆ ครับ และที่สำคัญสำหรับพี่ผู้ ญ  เวลานอนลงไปแล้วตื่นมาหน้ายังเป็นเส้น ๆ เลยครับ ซึ่งเป็นรอยจากแรงกดทับครับที่พี่ไม่แกะพลาสติกครับ แต่ถ้าพี่ฝืน ประมาณว่า เอาน่าน้องพี่ชอบที่นอนใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา ผมบอกเลยครับว่าเดี๋ยวไม่เกิน 1-2 เดือนพลาสติกก็แตก ฉีก ขาด อยู่ดีครับผม เพราะพลาสติดมันกรอบ เพราะแรงยืดหยุ่นในการนอนครับ ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้แล้วบอกเลยว่า แกะตอนแรกง่ายกว่าเยอะครับ เพราะพลาสติดจะเป็นเศษ ๆ เต็มเลยครับผม


 
----------------------------------------------------------

 

3. ควรใช้ผ้ารองกันเปื้อน เพื่อให้ที่นอนสะอาดและดูใหม่อยู่เสมอ  

  ( อันนี้ขอเน้นนะครับ เน้นเลยยย )

 
 






--- ถ้าพี่จะ save ที่นอนจริง ๆ และอยากให้ที่นอนใหม่อยู่เสมอนั้น ... พี่ครับพี่ต้องใช้ที่ ผ้ารองกันเปื่อนของที่นอนด้วยครับ ซึ่งตัวนี้ครับจะดีมากในการหุ้มและคลุมตัวที่นอนไม่ใช้ที่นอนพี่เก่าและเกิดคราบเหลืองที่เหงื่อของพี่เองครับ ซึ่งพี่บางท่านอาจจะไม่รู้ เวลาเรานอนลงไปแล้วนั้นเรามีการห่มผ้านวมใช่มั้ยครับ ซึ่งเราไม่สามารถคอนโทรให้อากาศสม่ำเสมอได้ทั้งคืน มีแต่ว่า นอนลงไปแล้วอากาศเย็นก็ห่มผ้า พออากาศร้อนเราก็ออกมาจากผ้าห่มหรือเลียกง่าย ๆ ว่าถีบผ้าห่มครับ ซึ่งตรงนี้แน่นอนครับ การนอนของเรามีเหงื่อออกอยู่แล้วครับแต่ไม่ได้มากเท่ากับการออกทำลังกาย ซึ่งแรก ๆ ก็อาจจะไม่เห็นอะไร แต่พอนานไปเหงื่อพวกนั้นมีสะสมนะครับ แน่นอนว่าแค่ผ้าปูไม่พอที่จะกั่นเหงื่อนะครับ ผ้าปูบางนิดเดียวเอง และที่สำคัญผ้าปูเรายังมีซักอยู่เรื่อย ๆ แต่ผ้าที่นอนนั้น ซักไม่ได้นะครับ ขนาดจะยกไปตากแดดยังแย่เลยย หนักมากครับ  ซึ่งบอกตรงเลยเป็นที่มาของผ้ารองกันเปื่อนครับ ซึ่งเราสามารถซักได้เป็นแผ่นซับให้กับที่นอนอีก 1 ชั้นครับ ซึ่งจะช่วยได้หลายอย่างครับ ทั้ง คราบเหลือง และตัวไรฝุ่นครับ จริงอยู่ที่นอนมีเครือบสารอยู่แล้ว ที่เป็นตัวกันไรฝุ่น แต่พอใช้นาน ๆ และเจอทั้งเหงื่อและเศษผิวของเราที่ล่วงลงไป สารต่าง ๆ ก็มีเสื่อมลงตามเวลาด้วยนะครับ ไม่ได้อยู่ยงคงกระพันครับ....และเศษผิวหนังเราก็มีตกลงบนที่นอนอยู่ทุกวันที่เรานอนสะสมไปหลาย ๆ ปี  ผมว่ามันเยอะอยู่นะครับ ตาเราก็มองไม่เห็นด้วย แต่พอดูดฝุ่นมาทีนี่เป็นกองเลยครับ สยองมากครับ

เชื่อผมครับ ถ้าเน้น save จริง ๆ ให้ตัวที่นอนใหม่อยู่เสมอ และเน้นมากเรื่องภูมิแพ้ พี่ต้องใช้ผ้ารองกันเปื่อนครับ สำคัญมากครับ  ตอนนี้มีหลายที่ขายนะครับมีตั้งแต่ 500 - 600 บาท ไปถึง 4-5 พันเลยนะครับ ขึ้นอยู่ที่วัสดุและวัตถุดิปที่ใช้ครับ 


 

 

    ส่วนพี่ท่านไหน เป็น ภูมิแพ้ แบบรุ่นแรง ผมบอกเลยครับต้องใช้ผ้ารองกันเปื่อนครับ และซักบ่อย ๆ ครับทั้ง ผ้าปูที่นอนและผ้านวมครับ รวมไปถึงเก็บกวาด ฝุ่นนะครับ ในบริเวนห้องให้เนียน ๆ หน่อยนะครับ ผมเองเจอกับตัวครับ หลายมานอนห้องผม บอกพี่ตามตรง เนื่องจากผมเองอยู่วงการนี้ก็ รู้เยอะถึงเยอะมากนะครับ แน่นอนว่า ก็โดนเยอะหน่อยไม่ตามระเบียบครับ ที่นอนกับเตียงผมเองก็เกรือบ 2 แสนและครับ  ( ในราคาขายจริงนะครับ ) ผ้าปูผ้านวมก็ชุดละหมื่นกว่า ผมเองนอนไม่เป็นไร แต่ต้องบอกก่อนนะครับ นาน ๆ ผมกลับบ้านทีนึง ทุกครั้งที่กลับจะมี แม่บ้านเปลี่ยนผ้าปูให้ตลอดครับ ก็ 1 เดือนกลับบ้านไม่เกิน 3 ครั้ง กลับไปก็....โทรบอกแม่บ้านเปลี่ยนผ้าปูทุกครั้งครับ แต่หลานผมมานอนห้องผมทีไร แพ้ทุกที ทั้ง คัดจมูกบ้าง เป็นผื่นบ้าง ทีแรกก็โทษที่นอนและผ้าปูไม่ดี แต่พอมานึก ๆ ดีดี พี่ครับ  พี่ครับบอกเลยว่าปลาตายน้ำตื้น ครับ สุดท้ายเก็บกวาดห้อง คือห้องผม พวก หมอนอิง และหนังซื้อกาตูน ตุดตุ่นตุ๊กตา เยอะเลย พอเก็ยและทำความสะอาดหมดตามซอกและหลืบต่าง ๆ รวมไปถึงฝุ่นใต้เตียง พี่ครับเชื่อมั้ยครับ ภูมิแพ้ไม่เป็นเลย...ไม่แสดงอาการเลยครับ ซึ่งตรงนี้ผมเองขอสรุป นะครับสำหรับพี่ที่ระวังเรื่องภูมิแพ้ แบบเป็นพิเศษ ไม่ใช่ดูแต่ที่นอนนะครับ แต่ต้องดูสภาพห้องเป็นองประกอบกันด้วยนะครับ เพราะต่อให้ ที่นอนพี่เทพขนาดไหน ซักผ้าปูบ่อยแค่ไหน แต่ถ้าสภาพห้องพี่ ฝุ่นเยอะภูมิแพ้ก็มาหานะครับผมม

 

----------------------------------------------------------

 

4. การถ่ายเทอากาศภายในที่นอน ควรดึงผ้าปูออกจากที่นอนทุกๆสัปดาห์ และควรทิ้งระยะการผึ่งที่นอนไว้ครั้งละหลายๆชั่วโมง เพื่อให้ที่นอนถ่ายเทอากาศได้สะดวก







--- ข้อนี้ผมเองก็เห็นด้วยครับผม....แต่ถ้าในความคิดผม ถ้าห้องพี่ไม่ได้ชื้น หรือ ห้องพี่ไม่มีอะไร หรือพี่ไม่เคยทำน้ำหรือขนมที่มีน้ำหกลงบนตัวที่นอน ผมว่าอาจจะไม่ต้อง ทุกๆสัปดาห์ก็ได้นะครับ  แต่เรื่องนี้ถ้าถามผมจริง ๆ พี่ครับบอกเลยว่า ถ้าพี่เป็น 1 คนที่เหมือนผม ที่ทุกครั้งเวลาเปลี่ยนผ้าปูที่นอน และพี่เปลี่ยนผ้ารองกันเปื่อนด้วย ผมว่าข้อนี้เราเองต้องทำโดยปริยายอยู่แล้วครับ เพราะเวลาเปลี่ยนผ้าปูนั้น ใช้เวลาพอสมควรเลยนะครับ ซึ่งเรื่อง เรื่องนี้ผมมองว่า ควรจะดึงให้ที่นอนโฟรอากาศ ในตอนที่เราเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและผ้านวมหรือไส้ผ้านวมครับ ซื้อไหน ๆ ต้องเปลี่ยนชุดปลอกเครื่องนอนอยู่แล้ว ก็ใช้โอกาศนั้นเปิดให้ที่นอนโฟรอากาศได้เลยครับ น่าจะจบกว่า ง่ายกว่าครับ

 

----------------------------------------------------------

 

5. เปิดหน้าต่างให้แสงแดดส่องถึงที่นอน เพื่อช่วยฆ่าเชื้อโรค คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ ถ้าใช้ที่นอนเส้นใยธรรมชาติ ควรใช้ปลอกที่นอนพลาสติกหรือไวนิลหุ้ม จากนั้นปูทับด้วยผ้าปูที่นอนอีกชั้น





 

--- เรื่องเปิดหน้าต่างให้แดดส่องถึงที่นอนนั้น....ผมมองว่าดีนะครับ แต่ต้องดูดีดีครับ เพราะที่นอนบางรุ่นนั้นมีส่วนผสมของยางพารา หรือเมมโมรี่โฟม ครับ ถ้าพี่ปล่อยให้แดดแรงเกินไปเจอที่นอนนั้นแบบตรง ๆ เป็นเวลานานนาน แบบ ครึ่งชั่วโมง หรือเป็นชั่วโมง ผมเกรงว่า ชั้นยางพาราและชั้นเมมโมรี่นั้นจะมีปัญหาครับ เรื่องการกรอบของวัตถุดิปครับ และเสียครับ ยิ่งถ้า เป็นที่นอนยางพาราทั้งก้อนแล้วหรือที่นอนเมมโมรี่ทั้งก้อนแล้ว พี่ครับการโดดแสงแดดแรง ๆ แบบตรง ๆ นั้นจะทำให้ที่นอนเสื่อมเร็วมากครับ เรื่องการกรอบแตกนั้น....จะเกิดขึ้นเร็วมากครับ ซึ่งแตกต่างกันนะครับ ถ้าอากาศในห้องร้อนใน องศา หรือ อุณหภูมิที่พอพอกันแต่ไม่โดนแดดแบบตรงๆ ที่นอนยางพารากับเมมโมรี่โฟมกลับไม่ค่อยเป็นอะไรเท่าไหร่นะครับผม  ส่วนเรื่อง คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ ถ้าใช้ที่นอนเส้นใยธรรมชาติ ควรใช้ปลอกที่นอนพลาสติกหรือไวนิลหุ้ม ซึ่งตรงนี้ผมมองว่า ก็อาจจะช่วยได้ครับ แต่สิ่งที่พี่้องเจอเลยคือความร้อนครับที่จะกลับขึ้นมาครับ ไม่ต่างจากนอนที่นอนแล้วไม่แกะพลาสติกครับ ซึ่งผมมองว่า ถ้าเน้นเรื่อง ภูมิแพ้ จริง ๆ ผมว่าพี่ซัก ผ้าปู ผ้านวม ปลอกหมอนและหมอนต่าง ๆ ให้เรียบร้อยและรวมไปถึงสภาพห้องให้สะอาดให้ฝุ่นน้อยอยู่เสมอนั้น พี่ครับ ไม่ต้องใช้ ปลอกที่นอนพลาสติกหรือไวนิลหุ้ม ก็ได้นะครับ...


 
----------------------------------------------------------

 

6. หากต้องการทำความสะอาดที่นอน และฐานที่นอนควรใช้น้ำสบู่ขัดตรงรอยเปื้อนเบาๆด้วยผ้าสะอาดหลังจากนั้น

ควรปล่อยให้แห้งสนิทก่อนการใช้งาน

 

--- เรื่องตัวที่นอนเปื้อน ตรงนี้บอกเลยครับว่า...ถ้าเปื่อนไปแล้วเอาออกยากมากครับ ใช้น้ำสบู่ก็อาจจช่วยได้แต่ช่วยได้นิดเดียวเองครับ...ผมเองอยู่อาชีพนี้บอกเลยครับ เจอรอยเปื่อนขนาดผมใช้น้ำยาแพง ๆ จากห้างหรือต่างประเทศยังช่วยได้น้อยเลยครับ ซึ่งผมตรงนี้ผมเองต้องบอกว่าถ้าเป็นไปได้ อย่าให้เปื่อนเลยครับ ดีที่สุดครับ


 
----------------------------------------------------------

 

7.ควรหมั่นตรวจสอบฐานรองและขาตั้งให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัย

 

---  ตรงนี้ผมเองเห็นด้วยครับ พี่ต้องหมั่นตรวจสอบ เตียงและฐานรองนะครับ ให้มีความ สมบูรณ์ อยู่เสมอครับ  ซึ่งผมเองอยู่ตรงนี้ อยู่จุดนี้ ต้องบอกพี่เลยครับว่าเจอบ่อยมากครับ โทรมาบอกผมว่า น้องที่นอนพี่ยุบ น้องพี่ปวดหลัง หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่พี่เชื่อมั้ยครับ ถ้าพี่ลูกค้า 10 คน เวลาที่นอนยุบ 10 คนจะโทษที่นอนว่าไม่ดี โทษว่าที่นอนเสียและยุบ แต่พี่ครับจากสถิติ 4 ใน 10 คนครับ จะมีปัญหาจากเตียงหรือฐานเตียงที่ส่งผมมาถึงตัวที่นอนและเรื่องการนอนครับ เลยทำให้พี่มีปัญหาครับเรื่องปวดหลังครับ....ซึ่งมีบ่อยนะครับ ถ้าเตียงพี่ไม่ สมบูรณ์ หรือแข็งแรงไม่พอต่อการนอนและการรองรับกิจกรรมต่าง ๆ บนเตียง เลยทำให้เตียงเสีย แต่พี่พี่ไม่เคยดูและไม่เคยเช็คเตียงเพราะมันอยู่ล่างสุด แต่ผมก็เข้าใจครับเช็คยากครับ  ถ้าเสียในช่วงแรก ๆ ที่นอนยังพยุงอยู่นะครับ แต่พอเสียแต่พี่ไม่รู้และนอนทับไปเวลานานแน่นอนครับที่นอนก็เสีย และก็ส่งผมถึงเรื่องการนอนครับเพราะที่นอนพื้นล่างไม่ได้สมดุลที่นอนก็ไม่สมดุลตามฐานเตียงแน่นอนครับ และก็ส่งผมเป็นทอด ๆ ถึงที่นอนและการนอนครับ


 
----------------------------------------------------------

 

8. ไม่ควรยืนหรือกระโดดบนที่นอน




 
 
 
 

--- เรื่องนี้จริงนะครับ....และจริงมากด้วยครับ เพราะการทำงานของระบบสปริงนั้น จะทำงานเป็นวงกว้างครับ ไม่สามารถรับน้ำหนักของคน 1 คนได้เพียงสปริงไม่กี่ตัวครับ อย่างเช่น เวลาพี่นั่งหรือนอนนั้นสปริงในการรับน้ำหนักเรานั้นจะอยู่ที่ 15-30 ตัวนะครับ อย่างต่ำ ๆ ที่จะช่วยกันในการดึงและรั้งเพื่อพยุ่งร่างกายของเราไม่ให้จมตัวที่นอนครับ ซึ่งตรงนี้จำนวนสปริงในการรับน้ำหนักนั้นจะอยู่ที่ ยี่ห้อและรุ่นนะครับ และจะผันแปรตามน้ำหนักและขนาดตัวของผู้นั่งและผู้นอนครับ แต่พอพี่ยืนบนที่นอน สปริงในการรับน้ำหนักพี่จะอยู่ที่ 2-6 ตัวเองครับ ซึ่งต้องรับน้ำหนักของคน 1 คนนะครับ และพี่ว่าสปริงจะรับไหวมั้ยครับ อันนี้ยังไม่รวมการกระโดดของเด็ก ที่น้ำหนักกดทับในการเด่ง 1 ครั้งจะ คูณ 2 หรือ 3 เท่า ที่กดลงบนสปริงเพียงไม่กี่ตัวนี้และพี่ว่าสปริงจะรับไหวมั้ยครับ พี่ครับสปริงที่นอนความหนาอยู่ที่ 0.9 - 2.4 มิลเองนะครับ ซึ่งจะอยู่ที่รุ่นและยี่ห้อครับ ซึ่งสปริงมิได้เส้นใหญ่แบบสปริงรถยนต์นะครับ ที่เส้นสปริงเท่านิ้ว ก้อนหรือนิ้วโป้ง ที่จะเจอแรงกระแทกแรง ๆ และไม่เป็นไร.... แน่นอนว่าถ้าพี่กระโดดนั้น มีสิทที่สปริงจะล้ม หรือสปริงจะเสียค่า k ไป ทำให้ที่นอนยวบครับ และในหลาย ๆ เคส สปริงหักก็มีบ่อยนะครับ ในยี่ห้อโนเนมทั่ว ๆ ไป ซึ่งก็มีข่าวลงหนังสือพิมให้เห็นอยู่บ้าง ซึ่งตรงนี้บอกพี่เลยครับว่า....ถ้าจะใช้ที่นอนสปริงเป็นไปได้ อย่ายืนเหยียบ หรือกระโดดบนที่นอนครับ ผมเองก็เข้าใจครับพี่บางท่านบอกว่าน้องบ้านพี่มีเด็ก ซึ่งเด็กกับที่นอนสปริงนั้นเป็นของคู่กันครับ กระโดด ชัว ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ก็อย่าไปคิดมากครับ ถ้าตอบแบบกำปั่นทุบดินเลย ก็ พี่ครับ ให้น้อยกระโดดไป ถ้าเสียก็เครมครับ แต่ถ้าเป็นไปได้ถ้าน้องเค้าชอบกระโดดบนที่นอนนั้น...ผมว่าพี่ดูเป็นที่นอนที่ไม่ใช่สปริงดีกว่าครับ อย่างพวก ที่นอนยางพารา หรือที่นอนยางพาราสังเคราะพวกตระกูลอีโคร่ลาเท็คครับ ... ผมว่าจบกว่าครับ ฟิวการนอนอาจจะไกล้ ๆ สปริง และบางทีก็ดีกว่า แต่ข้อดีเลยคือ ที่นอนพวกยางพราหรืออีโคร่ลาเท็กนั้นจะไม่เด่งครับ เหมือนสปริง เลยทำให้นอน 2 คนไม่สะเทือนครับ ทีนี้น้องจะกระโดดแบบไหนก็ตามสบายเลยครับผม


 
----------------------------------------------------------

 

9. ไม่ควรหักหรืองอที่นอนขณะเคลื่อนย้าย






 นี่ผมเองนะครับ ยกคนเดียว สบาย ๆ ชิว ๆ ครับ

 

--- ตรงนี้ผมเองบอกเลยว่า ไม่เป็นความจริงนะครับ ที่นอนยางพารา หรือที่นอนที่ไม่ใช่สปริงบอกเลยว่า งอได้ 100% ครับ แต่ถ้าที่นอนสปริงนั้นต้องขอบอกเลยว่าพี่อย่าไปเหมารวมครับ ที่นอนสปริงนั้นสามารถงอได้อยู่ประมาณนึงเลยครับ ในหลาย ๆ รุ่นสามารถงอได้เป็นรูปตัว u เลยครับ....ซึ่งทั้งนี้และทั้งนั้นบอกเลยครับ การทำแบบนี้ได้ต้องทำจากช่างผู้ชำนาญนะครับ...ซึ่งทำได้ไม่ยากและรับรองผมเลยครับว่าทำออกมากลับคืนเหมือนเดิมครับ ซึ่งผมเองเรียนพี่ตามตรงอยู่อาชีพนี้ ส่งของเองมาก็เยอะคุมเด็กส่งมาก็มาก และไปเทรนตามโรงงานและต่างประเทศก็มีบ้าง พี่ครับผมยืนยันให้ครับสามารถงอได้ 100 % ครับ ที่นอนบางตัวงบได้ขนาดพับเลยก็มีครับ เพราะเค้ามีใส่ตัวข้อต่อพับให้ครับ และอีกอย่าง1 สปริงสมัยนี้เป็นคอบ่อนเกรดสูงครับเรื่องการทำแรงยืดหยุ่นที่เยอะแต่เวลาไม่นานนั้นสามารถทำได้อย่างสบายครับ ... แต่ถ้าเป็นที่นอนรุ่นเก่าเมื่อ 15 ปีที่แล้วนั้นบอกเลยว่า จริงครับงอไม่ได้หรืองอได้ก็น้อย เพาะ....เค้าเป็นสปริงเหล็กครับ  ซึ่งปัจจุบันที่นอนสปริงพัฒนาไปไกลมากและคับ  ไกลถึงขนาดที่ว่า พี่จีน ส่งที่นอน 6 ฟุตมา 1 ตู้คอนเทนเนอร์ใส่ที่นอนได้ 500-600 ตัวและกันครับ เค้าเล่นหนีบที่นอน หนา 9 นิ้ว ให้เหลือ 1-2 เซ็นและดูดมาเป็นที่นอน สูญญากาศ และกันครับพอมาถึงไทย ตัดออกที่นอนฟองกลับ 9 นิ้วแบบเดิมครับ

 

----------------------------------------------------------

 

10. ที่นอนควรวางบนเตียงนอน หรือฐานรองที่นอน เพื่อให้สปริงเกิดความยืดหยุ่น

 

--- ตรงนี้ผมเองก็เถียงครับ....ที่นอน 1 หลังออกแบบมาให้วางได้กับสภาพพื้นไม่ที่เรียบ ๆ ครับ แน่นอนว่าไม่ได้จำกัดแค่เตียงนะครับ พี่วางบนพื้นหรืออะไรก็ได้ครับ...ที่เป็นพื้นเรียบ ๆ และแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักครับ ไม่จำเป็นต้องวางบนเตียงนะครับ ส่วนเตียงหรือฐานรองนั้น พี่ไม่ต้องไปติดในคำของคนขายนะครับ ว่าเอาที่นอนสปริงวางบนเตียงแล้ว....ที่นอนจะมีอายุการใช้งานที่มากขึ้นครับ หรือยืดหยุ่นมากขึ้น เพราะเอาเข้าจริง พี่ซื้อที่นอนมาวางบนเตียงไหนผมไม่เห็นใครรับประกันที่นอนเพื่มเลยครับ อย่างเช่น slumberland รุ่นประกันในสปริง 1500 ตัว ซึ่งโดยพื้นฐานรับประกัน 15 ปี แต่ถ้าพี่ใช้ฐานรองสลัมหรือเตียงสลัมคู่ด้วยที่นอนจะรับประกันเพื่มเป็น 20-25 ปี ซึ่งถ้ามีแบบนี้ผมเองจะพยายามทำใช่เชื่อนะครับ แต่เอาเข้าจริง พี่ซื้อที่นอนมารับประกัน 15 ปี พี่ซื้อเตียงหรือฐานรองเค้า การรับประกันก็เท่าเดิมครับ ไม่ต่าง สปริงก็ไม่ได้ยืดหยุ่นอะไรมากครับ  แต่เป็นความจริงนะครับ เตียงที่เป็นพื้นไม้เต็ม ๆ จะให้ฟิวการนอนที่นิ่งและแน่น แต่เตียงที่เป็นฟิวการนอนแบบ พื้นไม้ระแนง หรือฐานรองสปริง...ที่นอนรุ่นนั้น  จะนุ่มขึ้นอีก 15-20% นะครับ ที่นุ่มขึ้นไม่ใช้เพราะ สปริงยืดหนุ่นมากกว่าเดิมนะครับ แต่ฐานรองไม้ระแนวหรือฐานรองสปริงมันช่วยสร้างให้ที่นอนเด่งมากขึ้นเท่านั้นเองครับ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็อยู่ทีความชอบของผู้นอนนะรับ พี่จะเอาที่นอนวางที่ไหนก็ได้ขอแต่เป็นพื้นเรียบ ๆ ก็พอครับ และดีที่สุดครับ

 

---------------------------------------------------------- 

 

ข้อสุดท้าย


11. มาตรฐานที่นอนทั่วไป จะมีอายุการใช้งานระหว่าง ๕-๑๐ ปี ขึ้นไป ซึ่งขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาและการใช้ที่นอนอย่างถูกต้องและเหมาะสม









  


---ข้อนี้จริงนะครับ....อายุที่นอนนันจริงอยู่าบางตัว รับประกัน 10 ปี บางตัวรับประกัน 12 ปี บางตัวรับประกัน 15 ปี บางตัวโดดไป 18-20 ปีก็มีนะครับแต่จะฟันธงเลยว่า 5-10 ปี ก็อาจจะดูโหดร้ายไปครับ ซึ่งผมเองเคยมีคุยกับทีมวิจัยชาวต่างชาตินะครับ ซึ่งนานมากและครับตั้งแต่ตอนที่ไป สเปน ละโปรตุเกต เค้าบอกผมมาแบบนี้ครับว่า ที่นอน 1 หลังถ้าใช้ให้คุ้มจริง ๆ เค้าจะใช้เพียง 70-80% ของอายุในการรับประกันเพียงเท่านั้นนะครับ เค้าจะไม่นอนให้เต็มประกัน หรือเลยประกันครับ ถ้าพี่เป็นคนที่เน้นสุขภาพจริง ๆ ครับ เพราะอะไรรู้มั้ยครับ ถึงต้องเปลี่ยน ทีมงานวิจัยที่นอนเค้าให้เหตผลมาว่า ... คนเราแก่ขึ้นทุก ๆ ปี ถ้าเด็กก็เข้าสู้วัยรุ่น /// วัยรุ่นก็เข้าสู่วัยกลางคน /// วัยกลางคนก็เข้าสู่วัยชลา และพี่ว่า 7-8 ปี พี่ว่าร่างกายเรามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเยอะมั้ยครับ ซึ่งแน่นอนครับ ต่อให้ที่นอนไม่เสีย ร่างการพี่ก็เสื่อมลง การรองรับและสเป็ก การนอนนั้นก็เปลี่ยนแปลงไปตามอายุครับ ยิ่งแก่ตัวลง ลักณะการนอนนั้นก็จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ครับ  แต่ตอนหลัง ๆ ผมเองเจอเยอะมาครับ คือการเปลี่ยนที่นอนก่อนมีอาการปวดหลังคับ ซึ่งก็เป็นอย่างที่ทีมงานวิจัยที่ผมได้คุยบอกไว้ครับ คือ เค้าใช้ 70-80% เองครับ พี่ลูกค้าให้เหตผมว่านอนลงไปแล้วไม่สบายแบบเดิม พอเปลี่ยนที่นอนที่แน่นขึ้น ก็กลับมานอนสบายเหมือนเดิม ซึ่งมองดูผ่าน ๆ เหมือนจะดูใช้เงินเปลืองนะครับที่นอนยังดีอยู่ แค่นอนไม่สบายแค่นี้ จะเปลี่ยนทำมั้ย ซึ่งทีแรกผมก็คิดแบบนี้นะครับ ( เพราะพี่ลูกค้าท่านนี้เป็นลูกค้าประจำ และสนิทกันครับ ชอบเอารถ ดี ดี แรง แรง มาล่อให้ผมลดราคาที่นอนให้ บอกเลยไม่ได้ซื้อนะครับ พี่เค้าเอามาขับให้ผมลองนั่งครับ และให้ผม ลูบ ลูบ คำ คำ เท่านั้นครับ ผมเองบ้ารถมากครับ เจอแบบนี้ทีไร มีกรี๊ดทุกทีครับ หลังสุดเอา gtr r35 โมเพื่มเป็น 700 ม้ามาให้ผมนั่ง บอกเลยว่ากรี๊ดมากครับ ลดกระจายย แรง g หนักมากเล่นดึงจนผมกลัวเลย อิอิ ) ต่อนะครับ ผมเองก็คิดว่าพี่จะเปลี่ยนทำมั้ยแต่พี่เค้าก็เป็นคนรักษาสุขภาพมากครับ พี่เค้าให้คำตอบมาแบบเดียวกับทีมวิจัยที่นอนชาวต่างประเทศเลยครับว่า พี่นอนอยู่กับมันวันนึงต้องมี 8-10 ชม   และถ้าพี่นอนที่นอนเดิมและไม่สบายเหมือนเมื่อก่อนที่เรานอนมานั้นเป็นระยะเวลานาน ๆ  นั้นคือสัญญาณบอกและครับ ว่าไม่ที่นอนมีปัญหา หลังเราและอายุเราก็มีปัญหาครับ พี่เค้าไปตรวจร่างกายมาแล้วว่าไม่เป็นไร เลยมาเปลี่ยนที่นอนใหม่ดีกว่าเพราะอายุได้แล้ว ดีกว่าปวดหลังและมาเปลี่ยน จ่ายแพงกว่าที่นอนเยอะครับ เพาะจ่าย 2 เด่ง ครับ /// เรื่องแบบนี้บอกเลยครับ พี่บางท่านจะฝืนนอนไปเรื่อย ๆ จนมีอาการปวดหลังหรือที่นอนยุบเป็นแอ่งและถึงเปลี่ยนที่นอน แต่พี่มาเปลี่ยนตอนนั้นก็สายไปแล้วครับ เพราะพี่ต้องจ่ายที่นอนที่แพงขึ้นกว่าคนปกตินอน และพี่ยังต้องจ่ายค่าหาหมอด้วยนะครับ ซึ่ง 8 ใน 10 รายลูกค้าผมที่เปลี่ยนที่นอนที่ไม่เกี่ยวกับย้ายห้องและขึ้นบ้านใหม่นะครับ 10 คนนันปวดหลัง และ 8 ใน 10 คนนั้นไปหาหมอและหมอสั่งว่าแก้ไม่หายเปลี่ยนที่นอนดีมั้ย เลยเข้ามาอ่านที่ผมเขียนและโทรมาคุยกับผมเรื่องที่นอนแก้ปวดหลังครับ...ส่วนอีก 2 คนบอกเลยว่ายัง งง ครับ ว่าปวดหลังแต่ที่เห็นเลยคือที่นอนยุบ เลยมาเปลี่ยนที่นอนใหม่ ซึ่งถ้าพี่เป็นเคส 2 คนนี้บอกเลยครับว่าพี่โชคดีมากครับ เพราะเปลี่ยนที่นอนแล้วจบ ... แต่ถ้าพี่เป็นแบบ 8 ท่านแรกละก็บอกเลยว่า มหามหากาฬ เพราะพี่มาเจอต้นเหตุก็สายครับ พี่ปวดหลังหาหมอยังไม่หาย สุดท้ายเปลี่ยนที่นอนให้รองรับและดีขึ้นเจอต้นเหตุที่ปวดหลัง แต่บังเอินพี่เป็นมากแล้วมรอาการปวดหลัง บอกเลยครับสำหรับผมที่เจ็บใจที่สุดคือ จ่ายตังและจบจะไม่ว่าเลยรับ  แต่นี่จ่ายตังทั้งค่าหมอ จ่ายทั้งค่าที่นอน และต้องมานั่ง มานอน ทรมารอีกเพื่อพักฟื้นอีกหลาย ๆ เดือน หรือเป็นปี และพอเป็นแล้ว อายุก็มากขึ้นทุกปีเรื่อย ๆ ด้วย อะไรนิดอะไรหน่อย อาการกำเริบ เร็วมากครับ แต่หายช้ามาก ตรงนี้ซิครับน่าเจ็บใจ ผมเชื่อว่า พี่พี่หลาย ๆ ท่านคิดนะครับ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เปลี่ยนที่นอนใหม่แต่แรกคงจะไม่เสียเงินขนาดนี้ครับ ซึ่งพอถึงเวลานั้นจริงมันวนกลับไม่ได้ครับ......เรื่องนี้ ไม่ต้องไปไหนไกลเลยครับ อาม่า อาอี้ผมเองครับตามประสาคนจีนครับ ของดีขายหมด ขอไม่ดีใช้เอง บอกให้เปลื่ยนก็ดื่อ ไม่ปลี่ยน จนตัวเองปวดหลังเรื้อรัง สุดท้ายอาม่าผมก็ต้องเปี่ยนที่นอน และก็หาหมอด้วย และต้องมาพักฟื้นอีก ครับ ตามสูตรเลยครับผมม !!!

 

สำหรับข้อ 11 นี้ ผมเองต้องขอออกตัวก่อนเลยนะครับว่า...โดยส่วนใหญ่ มาตรฐานเมืองนอกนั้นสำหรับพี่ที่เน้นเรื่องสุขภาพแบบจริงจังเค้าจะใช้ที่นอน

 

ไม่ให้ถึง 100 % นะครับ เค้าจะใช้เพียง 70-80% ของที่นอนรุ่นนั้น ๆ เท่านั้นเองครับ จะไม่ได้ซื้อมาและยิงยาว ๆ แบบบ้านเราครับ ใช้ที่ 15-20 ปี ในทุกรุ่นครับ ... ซึ่งตรงนี้การตัดสินใจทั้งหมดนั้นอยู่ที่พี่นะครับ ว่าจะเลือกแบบไหน และสุดท้ายก็ขอให้มีความสุขกับที่นอนนะครับ

 

 

โดยเบื่องต้นนั้น...ก็ประมาณนี้นะครับ ถ้าพี่พี่ท่านไหนมีปัญหาสงสัยตรงไหนเพื่มเติมก็สามารถโพสมาถามเพื่มเติมหรือสามารถโทรมาคุยได้เลยนะครับ....ผมเองธันวา ยินดีให้ความรู้และคำแนะนำเรื่องที่นอนอย่างเต็มที่นะครับ

 

สิ่งที่ผมทำตรงนี้ขึ้นมาเพื่อให้ความรู้และขยายความในการรักษาและดูแลที่นอนนะครับ ซึ่งโดยหัวข้อผมเอง อิงจากข้อมูลในอินเตอร์เน็ด นะครับ และเอามาขยายความ ในสตายของผมจากประสพการที่ผมสะสมมาและผ่านมา เป็น 10 ปีนะครับ

 

 ซึ่งผมเองก็พยายามพิมในภาษาของผมที่จะพยายามให้พี่พี่ที่ได้อ่านและเข้าใจง่ายขึ้นนะครับ

 ( รึป่าว )

ซึ่งผมเองก็ตอบแบบกลาง ๆ นะครับ

 แต่ถ้าผมเองทำอะไรลงไปแล้ว ผิดพลาดตรงไหน หรือ ไปขัดใจพี่พี่ท่านไหน

ผมเองก็ขอโทษพี่พี่ไว้ ณ ตรงนี้ด้วยนะครับ  ซึ่งผมเชื่อว่าสำหรับพี่พี่ที่เป็นผู้บริโภค

หรือซื้อที่นอนมาใช้เอง จริง ๆ ถ้าได้อ่านข้อความตรงนี้ของผมไปแล้วน่าจะได้ ข้อมูลดีดีเยอะนะครับ

(ซึ่งผมหวังไว้แบบนั้นนะครับ)

 

และขอขอบคุณที่พี่พี่ติดตามอ่าน...นะครับผม

 
 

ถ้าพี่พี่ท่านไหน  มีปัญหาหรือข้อสงสัยเรื่องที่นอน 

หรือต้องการคำแนะนำเบื่องต้นของหลักการเลือกซื้อที่นอน พี่สามารถเข้ามาตาม ลิ้ง ข้างล่างได้เลยนะครับ

 

http://pantip.com/topic/33656834

 

เป็นกระทู้ที่ผมให้ความรู้ และมีการถามตอบเกรี่ยวกับข้อสงสัยในเรื่องของที่นอนโดยเฉพาะครับผม

หรือสามารถโทรมาคุยได้ที่ 084-076-7991 ครับผม